เทศน์พระ

ดีแต่ชื่อ

๙ พ.ค. ๒๕๕๖

 

ดีแต่ชื่อ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาฟังธรรม ขณะฟังแล้วนะ ถ้ามันสะเทือนหัวใจน่ะ นั่นน่ะมันจะมีโอกาส แต่ถ้ามันคุ้นเคยไปแล้ว มันแบบว่าทัพพีในหม้อ ไม่รู้จักรสชาติอะไรหรอก แต่ถ้ามันตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานะ ฟังธรรมขึ้นมาสะเทือนใจ ใจมีคุณค่า

ถ้าใจไม่มีคุณค่า นอนจมนอนแช่อยู่กับกิเลสนั่นน่ะ ถ้านอนแช่อยู่กับกิเลสเพราะกิเลสมันอวิชชา ถ้ามันตื่นตัวมันตื่นตัวตลอดเวลานะ นี่เวลาธรรมะ ถ้ามันสะเทือนใจ ขนลุกเลย ถ้าขนลุกขนพองสิ่งนั้นมันทำให้คนเรามีสติ แต่ถ้ามันฟังแล้วนะ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา มันเหมือนกัน เวลาฟังเทศน์ทางเทปนะ ทางเทปถ้าฟังแล้วบางคำมันยังสะเทือนใจเลย แต่ถ้าสดๆ สดๆ มันออกมาเดี๋ยวนี้ในปัจจุบัน นี่มันทิ่มกันเดี๋ยวนี้เลย ถ้าทิ่มกันเดี๋ยวนี้มันมีคุณค่า เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ พูดถึงว่าเวลาอยู่กับหลวงปู่มั่น ถ้าวันไหนเวลาจะมาฟังเทศน์นะ มันเหมือนลูก เห็นไหม ดูสิเวลาเด็กมันหิวนม มันจะหาพ่อหาแม่มัน มันหิวกระหาย มันจะร้องไห้ตลอดเวลา

จิตใจนะ ถ้าคนมันใฝ่ธรรมนะ มันจะขวนขวายของมัน แต่ถ้าคนมันไม่ขวนขวายนี่ นั่นมันตุ๊กตา ตุ๊กตามันไม่ต้องกินอะไร มันตั้งไว้นั่น มันไม่หิวแล้วมันไม่ตาย ถ้าใจมันด้านมันเป็นแบบนั้น น่ะตุ๊กตา เห็นไหม วางไว้ในตู้มันก็อยู่ในตู้นั่นน่ะ อีกสิบปีมันก็อยู่นั่น มันไม่มีขี้ไม่มีเยี่ยว แต่ถ้าเด็กนะ เด็กมันขาดน้ำมันก็ตาย เด็กนะ ถ้าไม่มีใครดูแลมันมันมีแมลงมากัดต่อยมัน มันก็ร้องไห้แล้ว

จิตใจของคนเรามันมีชีวิต ถ้าจิตใจเรามีชีวิตมันต้องมีความตื่นตัว อย่าไปจมอยู่กับอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันภาษาโลกเขาเรียกว่าคนหน้าด้าน คนหน้าด้านนี่คนหน้าชา คนชินชาหน้าด้านมันทำอะไรไม่ได้หรอก แต่ถ้าหัวใจมันไม่ชินชาหน้าด้านนะ มันทำอะไรมันสะเทือนใจ แล้วถ้ามันสะเทือนใจนะ นั่นน่ะธรรมะมันสะเทือนหัวใจ ถ้าสะเทือนหัวใจเราจะมีโอกาส มีโอกาสเพราะอะไร? เราบวชมาเพื่ออะไร เราบวชมาเราเห็นโทษนะ

นี่เวลาเกิดในช่องคลอด เกิดมาจากช่องคลอดมันต้องรีดออกมา ตายตั้งแต่ในท้องก็มี เกิดมาตายระหว่างคลอดก็มี เกิดมาไม่กี่วันตายก็มี แล้วมาเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้ ถ้ามันไม่ตื่นตัวขึ้นมามันชินชาหน้าด้าน ถ้าไม่ชินชาหน้าด้านมันจะตื่นตัว ถ้าตื่นตัวแล้วมันเคารพนะ แล้วต่างคนต่างจะไม่เป็นภาระต่อกัน ถ้าต่างคนไม่เป็นภาระต่อกันถึงเวลาไง

นี่เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ท่านบอกเลย การที่ว่าต้องตีระฆังต้องตีกลองเพื่อนัดหมาย ท่านบอกว่านั่นมันหยาบเกินไป มันหยาบเกินไปเพราะอะไร เพราะถึงเวลาเราโตๆ กันแล้วนะ นาฬิกาก็มีกันทุกคน ถึงเวลาต้องไปแล้ว พอถึงเวลาต้องไปแล้วนี่มันเอื้อเฟื้อ เอื้อเฟื้อกับธรรมวินัย ถ้าคนมันไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เอื้อเฟื้อมันก็หน้าด้าน ถ้ามันหน้าด้านมันก็นอนจมอยู่นั่นน่ะ แล้วถึงเวลาก็ต้องไปปลุกกัน ต้องไปลากกันมา

ถ้าไปลากกันมานะ เวลาสงฆ์เป็นวรรคทำกรรมไม่ได้ สงฆ์นี้ทำกรรมไม่ได้ แม้แต่ป่วยไข้ขนาดไหนต้องให้ฉันทะมา ถ้าจะลงอุโบสถกรรม เพราะอะไร นี่ความสามัคคีมันพร้อมกันไปหมด ถ้าพร้อมไปกันหมดมันก็ต้องตื่นตัวสิ มันก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว ของมันรู้ๆ กันอยู่แล้ว ของมันถึงเวลามันก็ต้องทำ จะทำก่อนทำหลังก็ต้องทำ ถ้าต้องทำก็ทำซะ ถ้าทำซะมันก็จบกันไป คนที่เขาเป็นธรรมขึ้นมา คนเป็นธรรมมาเขารอมาแล้วใช่ไหม เหมือนกับว่ามันเป็นความกังวล

เวลาหลวงตาท่านเล่าอยู่ ภรรยาของหลวงปู่พรหมท่านไปหาหลวงปู่มั่น นี่ไปหาหลวงปู่มั่น บอกมาไม่ได้หรอก ผู้หญิง เพราะที่นี่เสือมันเยอะ แต่ก็ขอให้อยู่ก่อน ขอให้อยู่หน่อยเถอะๆ ท่านก็ไปทำร้านไว้บนต้นไม้ ไปขัดร้านไว้ให้อยู่บนนั้น ท่านอยู่ถึง ๓ – ๔ วันนะ ท่านดูแลอยู่นะ ถึงเวลาท่านบอกว่า “ไปเถอะๆ มันเป็นกังวล ไปเถอะๆ” เราไปไม่ได้หรอก เป็นกังวล มันรับผิดชอบไง

คนที่เขาเป็นธรรมเขารู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะทำของเขาให้เป็นระบบของเขาไป มันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันทำอะไรมันก็ไม่เป็นภาระของคนอื่น ถ้าเราจะทำอะไรเป็นภาระของคนอื่นเลย แล้วก็บอกฉันปัญญาชน ฉันรู้อ่ะ ฉันเก่ง เก่งอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก คนเก่งนะ คนเก่งเขาเก่งในหัวใจของเขา เขามีสติปัญญาของเขา ไม่เป็นภาระของใครทั้งสิ้น ดูสิ เวลาลูกเกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็เลี้ยงดูมา ถ้ามันเป็นภาระก็ภาระที่ว่ามันยังไร้เดียงสาอยู่ มันก็ต้องอาศัยพ่อแม่ไปทั้งนั้น

ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิเกิดมาแม่ตาย เพราะแม่คลอดแล้วก็ตาย นางโคตมีเลี้ยงมา เห็นไหม ได้กินน้ำนมจากนางโคตมี เป็นน้ามา ถึงเวลาโตขึ้นมา เห็นไหม ระลึกบุญคุณ เวลาจะออกไป นางโคตมีเป็นภิกษุณีองค์แรก จะมาขอบวชๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บ่ายเบี่ยง จนพระอานนท์ เห็นไหม “ผู้หญิงบวชไม่ได้หรือ ผู้หญิงจะบรรลุธรรมได้ไหม” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ได้ทั้งนั้นได้ๆๆ” นี่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาใช่ไหม? “ผู้หญิงก็เป็นพระอรหันต์ได้ ผู้หญิงทำอะไรทุกอย่างได้หมด แล้วทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้บวชล่ะ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ไม่ให้บวช ถ้าบวชแล้วศาสนาอายุมันจะเรียวแหลมลง ถ้าจะไม่ให้เรียวแหลมต้องตั้งกติกาขึ้นมา”

เห็นไหม ภิกษุณีบวชมาจะกี่ร้อยปีก็แล้วแต่จะสอนภิกษุแม้แต่บวชวันแรกไม่ได้ ภิกษุณีจำพรรษาด้วยตัวเองไม่ได้ ภิกษุณีต้องจำพรรษาอยู่กับภิกษุ นี่ถ้าเกิดจำพรรษาเองแล้ว ดูสิภิกษุณีธุดงค์ไป ดูสินักเลงเขากลั่นแกล้ง เขาทำลาย ในเมื่อเขาไม่นับถือศรัทธา เขาก็กลั่นแกล้ง เขาทำลาย นั่นไง มันมีมาทั้งนั้นแหละ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกบุญคุณ ถ้าโตมา กว่าจะโตมาขนาดไหน ถ้าโตมาแล้วถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร นี่เห็นภัยในวัฏสงสารออกบวชนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีนี้เวลาออกบวชแล้วนี่นางโคตมีมา เห็นไหม นี่จะขอบวชๆ พระพุทธเจ้ามองเห็นว่าซึ้งบุญซึ้งคุณ บุญคุณเขาก็มี โดยส่วนตัวนี่บุญคุณมหาศาล เพราะแม่เสียไปก็ได้น้ำนมจากนางโคตมีดำรงชีวิตมา โตมามีการศึกษามาจะครองราชย์อยู่แล้วมาออกบวช เวลาออกบวชขึ้นมาแล้ว นี่บรรลุธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแผ่ธรรมๆ ทุกคนก็อยากได้ทั้งนั้น ทุกคนก็อยากได้ อยากพ้นจากทุกข์ อยากพ้นจากทุกข์นะ เวลานางโคตมีก็ต้องอยากได้เหมือนกัน

ถ้าอยากได้ขึ้นมาถ้าเป็นทางโลก ทางโลกก็พะเน้าพะนอกันไปเลยนะ แต่นี่ตั้งกติกาเอาไว้ก่อนเลย ไม่ให้บวช ถ้าจะบวชต้องอยู่วัดก่อน ๘ ข้อ ต้องทำ ๘ ข้อนี้ให้ได้ก่อน ถ้า ๘ ข้อนี้ได้ถึงให้บวชเข้ามา พอบวชเข้ามาแล้ว เห็นไหม สงฆ์ ๒ ฝ่าย นี่มันมีขั้นตอนของมัน

คนจะทำดี ไม่ใช่ทำความดีมันจะมีดีมาโดยอัตโนมัติ อัตโนมัตินี่มันก็เป็นบารมีทั้งนั้นน่ะ บารมีถ้าคนดีมันก็คิดแต่เรื่องดี ใฝ่แต่จิตใจเรื่องดีๆ ถ้าจิตใจเรื่องดีมันทำแต่สิ่งความดีทั้งนั้นแหละ มันไม่ไปทำสิ่งใดไปเป็นภาระแบกหามให้ใครมาก เว้นไว้แต่.. เว้นไว้แต่คนเรามีกิเลส เวลาคนมีกิเลสทำขึ้นมาก็ว่าตัวเองทำดีทั้งนั้น แต่มันดีจริงหรือเปล่า นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ความรู้สึกความเห็นของเรามันหยาบๆ ทั้งนั้น แล้วความที่เป็นละเอียดล่ะ สิ่งละเอียดที่เป็นคุณงามความดีที่มันละเอียดเข้าไป ละเอียดที่ไหนล่ะ เห็นไหม

มันดีแต่ชื่อ ดีแต่ชื่อ เห็นไหม ดูสิหลวงตาท่านพูด นี่ชื่อนายดี นายดี นายพรหม นายสวรรค์โน้นน่ะ แล้วเราทำดีจริงหรือเปล่าล่ะ ความดีมันไม่ได้ดีที่ชื่อนะ ถ้าชื่อ ชื่อว่าดีเขาตั้งให้ก็เป็นมงคลกับชีวิต นี่มงคลว่าคนนั้นตั้งชื่อให้มันเพราะๆ ซะ ดูสิอชาตศัตรู เห็นไหม เวลาเกิดมาอาวุธในพระราชวังแวววาวไปหมดเลย จนเขาตกใจไปหมดว่าทำไมมันเป็นขนาดนั้น เวลาพราหมณ์ดูแล้วนี่จะฆ่าพ่อ จะฆ่าพ่อนี่ให้ฆ่าทิ้งซะ ให้ฆ่าทิ้ง พระเจ้าพิมพิสารรักมาก แล้วเราจะแก้อย่างไร เราจะเลี้ยงดูให้ดี เห็นไหม ตั้งชื่อไว้เลย “อชาตศัตรู” ไม่เป็นศัตรูกับใคร จะเป็นคนดีทั้งหมดเลย นี่ตั้งชื่อ ดีแต่ชื่อไง ดีที่ชื่อไง แล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ มันจะเป็นความจริงไหม ถึงเวลานี่เวรกรรมมันให้ผล เวลากรรมมันให้ผล ดูสิ เทวทัตไปเกลี้ยไปกล่อมบอกว่า

“ให้ยึดสมบัติ”

“ไม่ต้องยึดหรอก พ่อก็ให้เอง”

“อ้าว แล้วถ้าเกิดเอ็งตายก่อนพ่อล่ะ”

แน่ะ! เวลาเขายุเขาแหย่ขึ้นมาจิตใจมันเรรวนไปจนได้ พอเรรวนจนได้ พอทำไปแล้ว เห็นไหม สิ่งที่ว่าพอทำไปแล้วเวลามาทุกข์ใจ พอทุกข์ใจ นี่หมอชีวกเป็นคนไปดึงมา เวลารำลึกได้แล้วเสียใจมาก พวกอำมาตย์ก็ต่างคนต่างดึงไปหาอาจารย์ของตัว หมอชีวกนะ บอกว่าไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นพระอรหันต์ จะรู้สิ่งใดได้ พอฆ่าพ่อไปแล้วนี่มีแต่ความทุกข์ใจๆ ไง

เวลาพาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ พอเดินจงกรมอยู่ คิดนะ คิดว่าหมอชีวกพามาในป่า ในสถานที่วิเวก หมอชีวกนี้จะเอามาฆ่าหรือเปล่า ยังคิดจะทำลายหมอชีวกนะ แต่เวลาหมอชีวก “อย่าทำเสียงดัง อย่างทำเสียงดัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่” เห็นไหม ในที่สงบสงัด นี่เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พอเทศนาว่าการใจมันผ่อนคลายได้ นี่พอใจผ่อนคลายได้ ขนาดว่ามีเวรมีกรรมนะ ถึงเวลาแล้วตั้งชื่อให้ดีๆ เลย “อชาตศัตรู” ไม่เป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น แล้วเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่มันก็ให้ผลเป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าให้ผลเป็นอย่างนั้นไปเพราะเวรกรรมมันมี ทำคุณงามความดีขนาดไหนก็ลบล้างกันไป

นี่เราจะมีชื่อมีเสียงขึ้นมาใช่ไหม ชื่อเสียงใหญ่โต มีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณเพราะเขาถือกันอย่างนั้น โลกถือกันอย่างนั้น ถ้าโลกถือกันอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง สร้างภาพกัน สร้างภาพกันจะให้มีชื่อเสียง ให้เป็นที่เคารพศรัทธา ให้เป็นคนเชื่อถือศรัทธา แล้วตัวเองมันเชื่อถือตัวเองได้ไหม ความจริงมันอยู่ที่เรานี่ ถ้าความดีมันอยู่ที่เรา เราทำความดีมันก็เป็นความดีของเรา ถ้าเป็นความดีของเรานี่ความดีต้องไปแข่งขันกับใคร ดีก็คือดี ชั่วก็คือชั่ว ดีคือดี ชั่วคือชั่ว ถ้าทำความชั่วขนาดไหนแล้วบอกว่าเป็นสิ่งที่ดี เวลาทำสิ่งที่ความพอใจของตัวแล้วจะบอกว่าทำอย่างนี้เพื่อหมู่คณะ ให้พอใจเราๆ มันเป็นไปได้อย่างไร ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การกระทำทั้งนั้นน่ะ ทำดีก็เป็นความดี ทำชั่วก็เป็นความชั่ว ถ้าทำดีมันก็ดีด้วยข้อเท็จจริง ดีด้วยเนื้อหาสาระ

ถ้าดีด้วยเนื้อหาสาระ เราก็ตั้งใจทำความดีของเราสิ แล้วถ้าดีเราบวชมาทำไม? เราบวชมาทำไม? เราบวชมาอย่างน้อยนะ ที่เราบวชมานี่ก็อยากให้จิตมันได้สัมผัสกับความสงบระงับนั้นหน่อยหนึ่ง ในเมื่อคนเกิดมามีกายกับใจๆ ทุกคนก็รู้อยู่เกิดมามีกายกับใจ เพราะว่าพูดกันมาจนชินปาก เห็นไหม ฟังจนชินหู แต่ใจมันด้านน่ะ นี่มีกายกับใจๆ ถ้ากายกับใจแล้วทำไมมันทุกข์ร้อนอยู่ขนาดนี้ล่ะ มีกายกับใจมันก็จะแสวงหามาเพื่อร่างกายมันทั้งนั้นน่ะ

แสวงหามาเพื่อโลกธรรมไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ อยากหายศหาบรรดาศักดิ์ อยากหาแต่สิ่งที่เป็นลาภสักการะ สิ่งที่ชอบใจของกิเลส เอาหน้าเดียวไง เอาแต่ที่กิเลสมันพอใจไง แต่สิ่งที่มีคู่กับมันมาไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับไง นี่มีลาภก็ต้องเสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ ถ้าเขาสรรเสริญก็มีนินทา ถ้ามีนินทามันเป็นของคู่มาอยู่แล้ว ถ้ามันของคู่อยู่แล้วนี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วอยู่กับสังคม สังคมเป็นอย่างนั้น มนุษย์เป็นสังคมขึ้นไปมันก็มีการโต้เถียงกันเป็นธรรมดา แล้วนี่กายกับใจๆ เห็นไหม มันอยู่ด้วยกันมันก็ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นกัน

แต่ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะ เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบได้นะ เราเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมานี่ ถ้ามันเกิดปัญญา ให้มันเกิดปัญญาขึ้นมาตามความเป็นจริงของมันขึ้นมา ถ้ามันจะดีมันก็ต้องดีที่การกระทำนี้ ดีที่เป็นความจริงของเรานี้ ไม่ได้ดีที่กิตติศัพท์กิตติคุณ ชื่อเสียง มันไม่มีประโยชน์หรอก

เขาก็ฟังตามๆ กันมา นี่ชื่อเสียงมันก็พูดกันต่อๆ มาทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาคนเขาอยากมีชื่อมีเสียงกัน เห็นไหม ดูสิ ทางโลกเขาแข่งขันกัน แย่งชิงกัน เพื่อศักยภาพของตัวเอง เพื่ออยากให้ตัวเองให้โลกเขาสรรเสริญ สรรเสริญมันคู่กับนินทา ยิ่งแย่งชิงกันมา ยิ่งไปฉกชิงของเขามา มันมีประโยชน์อะไร

๑. มันไม่ใช่ความจริงอยู่แล้ว

๒. มันไม่ใช่ของของเรา

๓. ไปพยายามสร้างภาพขึ้นมาให้เป็นของเรา

มันไม่มีอะไรจริงสักอย่างเลย เห็นไหม นี่สมมุติ โลกนี้เรื่องสิ่งที่สมมุติกันขึ้นมา แล้วมีการกระทำขึ้นมา แล้วทางโลกเขาทำได้ แล้วยิ่งในปัจจุบันนี้ยิ่งทางวิชาการเขาเจริญ เขาทำได้หมดเลย ดูสิ ถ้าเขาทำไม่ได้ ทำไมแก๊งตกทองจนป่านนี้เขายังหากินของเขาได้ ไอ้พวกสิบแปดมงกุฎยังหากินของมันอยู่ได้ตลอดไป เพราะอะไร เพราะมันมีเล่ห์กลของมัน แล้วคนที่ซื่อ ซื่อสัตย์ มันก็เป็นเหยื่อของเขาทั้งนั้น แล้วเหยื่อของมันเป็นเพราะอะไรล่ะ? เป็นเพราะวงจรชีวิต ทำไมมันต้องไปประสบ ทำไมต้องเป็นเราด้วยล่ะ ทำไมต้องเป็นเราด้วยล่ะ

โลกมันเป็นแบบนั้นไง แล้วจิตมันเวียนตายเวียนเกิดมันก็เป็นแบบนี้ ใครจะมีชื่อเสียงมีกิตติคุณของเขา มันก็เรื่องของเขา เราวางไว้หมด เราวางไว้แล้ว ชื่อของเราพ่อแม่ก็ตั้งมาให้ เราเกิดมาเราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เห็นไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ถ้าบวชมาแล้วถ้าศึกษาเรื่องนี้มันก็จะเข้าใจอย่างนี้ ชีวิตนี้มันก็ซาบซึ้ง พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูกแล้วเราดูพ่อแม่เราอย่างไร เราคิดถึงพ่อแม่เราอย่างไร เป็นพระอรหันต์ของลูก เห็นไหม นี่พระอรหันต์ของลูก เราเกิดมาเวียนตายเวียนเกิด พ่อแม่ก็มีทุกข์มียาก เห็นไหม เรานี่มีความขัดแย้งกับพ่อแม่ตลอดมา มีความเห็นไม่ตรงกันทั้งนั้นน่ะ มันเป็นไปตามวัย แต่พอเราโตขึ้นมา ถ้าใครมีครอบครัวขึ้นมาเราก็มีลูกเหมือนกัน ถ้ามีลูกมีเต้าขึ้นมามันก็กงกรรมกงเกวียน มันก็จะหมุนมา ถึงเวลามันก็ทับรอยไปนั่นน่ะ

แต่ถ้าเรามาบวช เห็นไหม เราถือพรหมจรรย์ ไม่ใช่ดีแต่ชื่อ พระเป็นผู้ประเสริฐ นี่ก็บวชมาเป็นพระ แถมเป็นพระป่าด้วย เป็นพระปฏิบัติด้วย เป็นพระปฏิบัติ ใครปฏิบัติล่ะ ถ้ามันปฏิบัติมันมีสติขึ้นมา เห็นไหม ใจมันก็ปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา ใจมันจะเป็นของมันขึ้นมา ถ้าใจไม่เป็นขึ้นมามันอยู่ในตำรับตำรา มันอยู่ในตำรับตำรามันก็เป็นทางวิชาการทั้งนั้น มันไม่เป็นความจริงในใจของเราขึ้นมา ถ้าเวลาศึกษาจะให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงมันอยู่ไหน ชื่อมันก็คือชื่อ ยิ่งตัวอักษรด้วยมันก็ตัวอักษรเลย มันไม่มีชีวิต มันไม่มีความรับรู้อะไรเลย

เวลาปลวกมันกินไป เห็นไหม ปลวกมันกินทั้งเล่มเลย หนังสือปลวกมันกินหมดล่ะ ปลวกมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันเป็นอยู่ในอบาย มันไม่มีความรู้สึกของมัน แต่มันไม่รู้เรื่องคุณธรรมหรอก มันไม่รู้ ถ้ามันเห็นเป็นกระดาษมันว่าเป็นอาหารของมันทั้งนั้นแหละ แต่นั่นชื่อของมันใช่ไหม แล้วความจริงของเราล่ะ

นี่ให้มันดีจริงๆ สิ ดีจริงๆ มันเป็นความจริงขึ้นมา นี่มันดีไม่จริงนะสิ มันดีไม่จริงมันดีแต่ชื่อ เอาแต่ชื่อ เอาคุณงามความดี เพราะดีแต่ชื่อนี่ ชื่อมันเป็นที่ตั้งแล้ว พอที่ตั้งนี่เอาความดีมาโต้เถียงกัน แย่งชิงกัน ทำลายกัน เอาแต่เรื่องข้างนอกมาทำลายกันแต่ข้างนอก แล้วความดีของตัวมันไม่มี

ถ้าความดีของตัวมันมีนะ ดูสิ ธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมมันอยู่ในหัวใจ เห็นไหม กุศล อกุศล ถ้าธรรมมันมีมันก็เป็นกุศล ดูสิ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายนี่แปรสภาพตลอดเวลา ดูสิ เวลาพิจารณาเข้าไปถึงเวลาขันธ์ เห็นไหม ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่มันสะอาดบริสุทธิ์ ขันธ์อะไรมันสะอาดบริสุทธิ์ได้ล่ะ ขันธ์นี่มันขันธมาร มารมันเป็นอวิชชา มันอาศัยความรู้สึกนึกคิดของเราออกไปหาเหยื่อ ทั้งๆ ที่อยู่ในใจตนเองมันก็ไฟสุมขอนนะ

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้มันก็อุปกิเลส มันก็ครอบงำอยู่แล้วนี่ ถึงเวลาถ้ามันเข้าไปถึงอัปปนาสมาธิ เวลาเข้าไปอัปปนาสมาธินะ มันก็เข้าไป มันสว่างไสวขนาดไหน มันจะมีความผ่องใสขนาดไหน เดี๋ยวมันก็เสื่อม เดี๋ยวมันก็แปรสภาพของมัน มันไม่มีอะไรคงที่

เวลาถ้าพิจารณาเข้าไปถึงเป็นพระอนาคา พอพระอนาคานี่เข้าไปเห็นจิตเดิมแท้ พอจิตเดิมแท้ นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้มันก็ยังเผาลนตัวมันเองอยู่ เห็นไหม ถ้าจิตเดิมแท้มันยังเผาลนตัวมันเอง สิ่งที่ว่ามันเผาลนตัวมัน ถ้าตัวมันเผาลนตัวมันเองแล้วนี่ ถ้าโดยปุถุชน โดยปุถุชนนี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส หมองไปด้วยอุปกิเลส แล้วอุปกิเลสมันเสวยอารมณ์ มันเสวยไปที่ขันธ์ ถ้าขันธ์นี่อวิชชามันเศร้าหมอง ขันธ์ก็เป็นขันธมาร ขันธมารที่มันรู้สึก ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม

ดูสิ สัญชาตญาณนี่กามฉันทะ กามฉันทะคือพอใจในตัวมันเอง มันจะเกิดกามในตัวมันเอง กามฉันทะมันเกิดกามราคะ พอเกิดกามราคะขึ้นไปๆ มันก็เกิดอุปาทาน พอเกิดอุปาทานมันก็ออกไปสู่สักกายทิฏฐิ มันออกไปๆๆๆ เห็นไหม ความออกอยากไปอย่างนั้น นี่ขันธ์ นี่กิเลสมาร มันเป็นมาร มันเป็นขันธมาร

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วนี่ เวลาขันธ์มันสะอาดบริสุทธิ์ เวลาจิตทำลายขันธ์เข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เป็นโสดาบัน พิจารณาสักกายทิฏฐิ ทิ้งสักกายทิฏฐิเข้ามา เวลาพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณาเข้าไปมันก็ปล่อยอุปาทาน พอปล่อยอุปาทานมันก็ว่างหมด พอว่างหมดพิจารณาซ้ำเข้าไปๆๆ จับต้องได้ เห็นไหม มันไปเกิดกามราคะ

พอเกิดกามราคะ กามราคะมันเกิดเพราะอะไร มันเกิดเพราะปฏิฆะ พิจารณาไปมันทำลายข้อมูล ทำลายปฏิฆะ ทำลายสิ่งที่ความพอใจ สิ่งที่เทียบเคียง สิ่งที่มันติดข้องในตัวของมัน มันเกิดกามฉันทะ มันทำลายข้อมูลทั้งหมด เห็นไหม มันทำลายทั้งหมด มันก็เข้าไปสู่ตัวมันเอง พอเข้าไปสู่ตัวมันเอง เห็นไหม สู่ตัวมันเอง นี่ตัวจิตเดิมแท้ๆ จิตเดิมแท้มันเป็นมารๆ เป็นตัวอวิชชา เวลามันทำลายตัวอวิชชาทั้งหมดแล้ว เห็นไหม มันทำลายตัวอวิชชาทั้งหมดแล้ว

ตัวมันโดนทำลายแล้วนี่ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ เวลามันทำลายจิต เห็นไหม ทำลายอาสเวหิ อาสวะมันเกิดที่ไหน มันเกิดที่ภพ เกิดที่ใจ จิตฺตานิ จิต วิมุจฺจึสูติ จิตวิมุตติไป พอจิตวิมุตติไปมันทำลายหมดแล้ว นี่ไง พอมันทำลายมันก็เป็นธรรม พอเป็นธรรมจิตที่มันเป็นธรรม จิตที่มันเป็นธรรมธาตุ มันเป็นธรรมของมัน ถ้าเป็นธรรมของมันแล้วนี่เวลามันอยู่กับขันธ์แล้ว เห็นไหม ดูสิ สอุปาทิเสสนิพพาน ถ้าจิตมันสะอาด จิตที่มันทำไปเป็นธรรมธาตุไปแล้ว เวลามันทรงขันธ์อยู่ ทรงธาตุทรงขันธ์อยู่เพราะท่านยังมีเศษส่วน สอุปาทิเสสนิพพาน มันมีเศษของมันอยู่ ถ้ามีเศษของมันอยู่ สิ่งที่เป็นขันธ์นี้เป็นภาระ นี่ไง ขันธ์ที่ว่าขันธ์มันสะอาดมันมีด้วยหรือ

ขันธ์นะ ขันธ์ ๕ มันสะอาดได้อย่างไร ขันธ์ ๕ มันสะอาดที่ไหน ขันธ์ ๕ มันเป็นขันธมาร มันเป็นมารทั้งนั้นน่ะ มารมันครอบงำของมันอยู่ มันถึงเป็นความทุกข์ความยากไง พอมันความทุกข์ความยาก มารมันปิดหูปิดตา พอมารมันปิดหูปิดตา มันก็บอกว่ามันเป็นคนดี เป็นคนดี มันดีแต่ชื่อ สร้างชื่อกันไง

สร้างชื่อเพราะอะไร สร้างชื่อเพราะมันมีตำรับตำรา เพราะมันมีธรรมและวินัย พอศึกษาธรรมวินัยมานี่ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่ แล้วตัวเองอยู่ไหน จิตใจของตัวเองมืดบอด จิตใจตัวเองมืดบอด ศึกษาธรรมนั้นมาเอาธรรมนั้นมาครอบหัวไว้ พอครอบหัวไว้มันก็ตั้งชื่อตั้งนามกัน พอตั้งชื่อมันก็บอกว่ามันมีค่าๆ ไง มันดีแต่ชื่อ เอาชื่อเขามา ไปเอาชื่อเขามา ไปเอาธรรมเขามา แล้วเอามาครอบหัวไว้ เอามาครอบหัวใจนี้ไว้ พอครอบหัวใจนี้ก็เอาชื่อเอานามมา เอาชื่อเอานามมาแล้วมันมีความจริงไหม มันมีความจริงอะไรอยู่ในใจมันบ้าง มันไม่มีความจริงอะไรอยู่ในใจของมันเลยนะ นี่ดีแต่ชื่อ ดีแต่ชื่อ.. ดีแต่ชื่อ ดีแต่นาม ไม่มีความจริง

ถ้ามีความจริงนะ เราตั้งใจของเรา เรามีกิเลสมีตัณหาความทะยานอยาก มันก็มีกิเลสทั้งตัวอยู่แล้ว ในเมื่อมีกิเลสทั้งตัวอยู่แล้ว แล้วเราเข้ามานี่มันชุบตัวไม่ได้ เราไม่ได้มาชุบตัว เรามาทำลายกิเลส เรามาทำลายสิ่งที่มันฝังใจเรานี่ เราไม่ใช่มาชุบตัว นี่มาชุบตัวสิ บวชมาก็ชุบตัว ชุบออกไปๆ ชุบออกไปมันจะชุบเอาอะไรออกไป

นี่มันมักง่าย มันเห็นแก่ตัว มันทำลายไง ทำลายเพราะอะไร เพราะของเขาเขามีของเขาอยู่แล้ว เขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน คนที่ใจเป็นธรรมเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เขามีหัวใจที่เป็นธรรม นี่เราเข้าไปเราก็ต้องมองสังเกตุสิว่าอะไรมันเป็นอะไร เขาทำอย่างไรกัน นี่เข้าไปก็ อู้! นั่นก็เล็กน้อย นี่ก็ไม่เป็นไร โอ๊ย! ฉันนั้นน่ะปัญญาชน เหยียบเขาไป เหยียบหัวเขาไปเลย เหยียบด้วยทิฏฐิมานะ เหยียบไปหมดเลย แล้วบอกว่าจะมาปฏิบัติธรรม เอาอะไรมาปฏิบัติ

ถ้ามันจะมาปฏิบัติธรรม มันก็ต้องเอื้อเฟื้อสิ เขาทำกันอยู่นี่ เขาอยู่มาเก่ามาแก่ เขาเคารพในธรรม ในข้อวัตรปฏิบัติ เขาเคารพเขาบูชากัน เขามีหัวใจเผื่อแผ่ต่อกัน ไม่ใช่ว่าเรามาเห็นเขาทำกันอย่างนั้น พวกนี้พวกไม่มีปัญญา คนมีปัญญาเขาสะดวกสบายกว่านี้ไง เอากิเลสมา เอาทิฏฐิมานะมา เอามาแล้วมันยังไม่รู้จักคิดว่าอันนั้นมันเป็นกิเลสไม่เป็นกิเลส เอามาแล้วเขาจะเอามาแต่ชื่อ ไปเอาความดีเขามา ไปเอาชื่อเขามา

นี่เพราะจะมีชื่อมีนามขึ้นมา เพราะกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมเขามีของเขา ถ้าเขามีของเขา เราทำใจของเราให้เป็นธรรมขึ้นมาบ้าง เราทำใจของเรามา มีน้ำใจต่อกัน ทำใจของเราให้มันมีคุณค่าทางน้ำใจ มีคุณค่าทางธรรม มีคุณค่า เห็นคุณงามความดีของเขา ไม่ใช่เป็นทัพพีในหม้อ ไม่ใช่เป็นเถรตรง เป็นสิ่งกีดขวางเขา กีดขวางเขาไปหมด สิ่งนั้นมันมีอยู่แล้ว สิ่งนั้นใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วแต่กิเลสมันขี่หัวเราไง ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วเพราะเขามีคุณธรรมในใจ รู้แล้วเขากระทำ รู้แล้วเขาประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่รู้แล้วเอาทิ้งไว้ข้างนอก แต่ฉันจะอิสระ ฉันจะทำตามใจของฉัน

นี่อย่างนี้มันเป็นอกุศล อย่างนี้มันก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าสิ่งนี้มันเผาลนใจ มันเผาลนใจเพราะอะไร เพราะมันขัดข้องหมองใจไปหมดล่ะ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นกิเลส ที่มันเป็นตัณหา ที่มันทำแล้วมันสะใจน่ะ สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันหยาบมากนะ มันหยาบ มันหยาบเพราะอะไร เพราะถ้าในใจมันมีกิเลสมันแสดงออกทั้งนั้นน่ะ แต่คนหัวใจที่เขามีธรรมน่ะ เขาสังเวช เขาสังเวชแล้วเขาไม่พูด เขามีมารยาท ไอ้เรามันคนถ่อย คนถ่อยแล้วแสดงออกนะ พอมันแสดงออกไปมันก็เห็น พอมันมีคนเห็นแล้วยังบอกว่า “อู้ ! จับผิด” คนนู้นก็จับผิด คนนี้ก็จับผิด แต่ความถ่อยของกูนี่สุดยอด!

โลก... โลกมันคือโลกนะ แต่เขาอยู่กันในวงคุณธรรม เขาบวชมา เขามีอุปัชฌาย์ มีอาจารย์ เขามีครูบาอาจารย์ทะนุถนอม กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงใจเขามา เขาได้ฝึกหัดใจเขามา ถ้าเขาได้ฝึกหัดเขาได้ดูใจเขามา ให้รู้จักบ้าง ให้รู้จักอะไรดีอะไรชั่ว ถ้าความดีเราก็ต้องยอมรับความดีเขา ความดีมันก็ความดี ความดีมันก็เหนือโลกอยู่แล้วล่ะ ให้มันดีจริงๆ ของมันไง อย่าให้ดีแต่ชื่อ ดีแต่ชื่อแต่มีแต่สารพิษ มีแต่ความเป็นพิษเป็นภัยในใจ สิ่งใดๆ ก็มีแต่ความเป็นพิษในใจของตัว เอาแต่ความเป็นพิษเป็นภัยไว้ แล้วพยายามจะแสวงหาเอาแต่ชื่อ เอาชื่อคุณงามความดีมาใส่มัน นี่โลกเป็นอย่างนั้น เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นล่ะ มันเรื่องมารยาสาไถย

ถ้าเป็นมารยาสาไถย มันเป็นมาร มารยาสาไถย เห็นไหม คนที่มีคุณธรรมเขาอึดอัด มันอีเดียดน่ะ มันอึดอัด มีแต่พิษแต่ภัย แล้วยังมาอวดอีกนะ ถ้ามันมาอวดมาอวดทำไม ทำไมต้องมาอวด ที่นี่เขาไม่ใช่เวทีแสดงความดีกัน ที่นี่เขามีแต่ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติเพื่อเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมก็ปฏิบัติธรรม ดีก็ดี ดีก็คือดี มีอะไรอีก ดีแล้วมันมีอะไรอีกล่ะ อ้าว ดีก็ดีในใจนั้นไง ทำไมต้องให้คนอื่นเขาบอกว่าดี อ้าว คนอื่นมันไม่ใช่เรื่องอะไรของเราหรอก แล้วถ้าเราชั่วเราเลวอย่างกับหมา ทุกคนเขายกย่องสรรเสริญมันเป็นความดีไหม? อ้าว เราเลวอย่างกับหมาเราก็รู้ว่าเราเป็นหมา แล้วเขาบอกว่าเราเป็นผู้ประเสริฐ เขาพูดปากเปียกปากแฉะเลย เราจะเป็นจริงหรือเปล่า มันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ไหมจากคำพูดของเขา จากคำพูดของเขาเป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ เพราะเราเลวอย่างกับหมา เขาจะมาชื่นชมอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราทำจริงของเราหรือเปล่าล่ะ ถ้าทำจริงทำอย่างไร นั่นสิ่งที่เป็นจริงเป็นอย่างไร

ถ้าเป็นจริง เห็นไหม อ้อ! โกนหัวห่มผ้าเหลืองนี่เป็นคนดีใช่ไหม? โกนหัวห่มผ้าเหลืองมันก็เป็นพระ พระโดยสมมุติสงฆ์ ญัตติจตุตถกรรมขึ้นมาเป็นสงฆ์ มันยังไม่ได้ชำระกิเลสเลย ยังทำความสงบของใจยังไม่เป็น แม้แต่สติก็ไม่รู้ว่าสติ เวลาสติก็ อ้อ! สติรู้จัก สติมันอยู่ในพระไตรปิฎกนู้น รู้จักหมดล่ะ แต่กูไม่มี รู้จักทุกเรื่องเลย แต่ในตัวกูไม่มี ถ้าในตัวไม่มีมันก็ไม่มีปัจจัตตังแล้วล่ะ มันไม่มีสันทิฏทิฐโก มันไม่รู้จริงขึ้นมา ความจริงมันไม่มี ถ้าความจริงมันมี มันให้ความจริงมีขึ้นมากับเราสิ

ถ้าความจริงมันมีขึ้นมากับเรา เห็นไหม มันจะสม สมกับเราเห็นโทษในวัฏสงสาร เราถึงมาบวชกัน เราบวชแล้วนี่เราจะทำจริงขึ้นมาสิ ทำจริงขึ้นมา อย่ามามารยาสาไถย นี้มันเล่ห์กล มันเรื่องโลกๆ นะ เราหนีโลกมาใช่ไหม โลกที่เราเห็นมา เห็นทุกข์เห็นยาก เราก็เห็นใช่ไหมว่าโลกเขาทำกันอย่างไร แล้วถ้าโลกเขาทำอย่างไร เราสละมา เห็นไหม เราสละมา เวลามาบวช เวลาเขาบวชมา บวชอุปัชฌาย์ก็ยกเข้าหมู่มาแล้ว เป็นพระมาแล้ว ถ้าเป็นพระมาแล้วเรามาประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะบวชใจ ถ้าบวชใจขึ้นมาจริง มันจะเห็นความจริงขึ้นมา

ถ้าเห็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราจะเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยหัวใจ ถ้าเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจ ดูหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ดูหลวงตา นี่เวลาพูดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะพูดด้วยความซาบซึ้ง พูดด้วยความเคารพบูชา เวลากราบพระกราบจากหัวใจ ไม่ใช่กราบประเพณีนะ มาถึงก็ปัดๆ ไปน่ะ

เวลาหลวงตาท่านกราบพระ เห็นไหม ทุกคนจะมองหลวงตา ท่านกราบพระเพราะอะไร? เพราะใจท่านซาบซึ้ง จิตใจมันดูดดื่ม จิตใจมันเคารพบูชา เกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ทุ่มเททั้งชีวิต อดอาหาร อดนอนผ่อนอาหาร สู้กับกิเลสมาจนแทบสละชีวิตสละตายมาตลอด เวลาอดอาหารไป เวลาใครปฏิบัติไป เวลามันถึงวิกฤติขึ้นมานี่ ถ้ามันจะตายอะไรตายก่อน นี่ขอดูสิอะไรตายก่อน ถ้ากิเลสมันอ้างว่าตายขอดูว่าอะไรตายก่อน ไม่ใช่พอว่าตาย เลิกแล้ว แล้วเดี๋ยวปฏิบัติใหม่

พอบอกว่าตายนะ เวลาเราไล่ต้อนจนกิเลสไปจนมุม เวลามันจะได้เสียกิเลสเราสามารถจะน็อกมันได้ สามารถที่จะชำระล้างมันได้ เราก็ผ่อนซะ เวลากิเลสมันจะจนมุมทีไรก็อ้างว่าจะตายแล้วนะ เราจะตายแล้วนะ เราจะตายก็ลองให้กิเลสมันตาย ฆ่ากิเลสให้มันตาย ให้เหลือเรารอดมา นี่พอเข้าไปจะตาย พอมันอ้างว่ามันจะตาย ยอมมันเลยๆ หนีหน้ามันมาเลย เห็นไหม

นี่เวลาปฏิบัติไป เวลาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ผ่านวิกฤติอย่างนี้มา เวลาปฏิบัติไปมันเห็น เห็นข้อเท็จจริงในใจขึ้นมา นี่ความดีมันดีจริงๆ ดีเพราะมันเกิดธัมมจักฯ เกิดภาวนามยปัญญา เวลามันเกิดภาวนามยปัญญา มันต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กันโดยบนหัวใจของเรา ในหัวใจของเรานี่ต่อสู้ พยายามต่อสู้กับพยายามแยกแยะระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน เวลาธรรมขึ้นมาอย่างนี้ นี่มันซาบซึ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม

เวลาปฏิบัติไปนี่ เวลาหลวงตาท่านพูดว่า “พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมหนึ่งเป็นที่ใจ” พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มารวมกันได้อย่างไร จิตใจนี่เราก็ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระรัตนตรัย เวลามันรวมเข้าไปแล้วมันรวมกันเป็นหนึ่งเดียว รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้วมันยังทำลายตัวมันเองอีกต่างหาก ทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายสถานที่ ทำลายภวาสวะ มันทำขึ้นไปแล้วมันซาบซึ้งมันซาบซึ้งขนาดไหน นี่ความดีในใจของท่าน เวลาท่านสำเร็จไปแล้ว เห็นไหม

เวลาท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงกราบด้วยหัวใจของท่าน เวลาครูบาอาจารย์ท่านเคารพ เห็นไหม พ่อแม่ก็เคารพ เพราะพ่อแม่พระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ก็ให้ชีวิตเรามา นี่พ่อแม่เลี้ยงดูมา พ่อแม่ให้ต่างๆ ขึ้นมา แต่เวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ มาเคารพธรรม เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเคารพมาจากใจ นี่ความดีอย่างนี้ ถ้ามันดีอย่างนี้มาแล้ว เห็นไหม หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาได้สนทนาธรรมกับใครแล้ว ถ้าสิ่งนั้นเป็นความจริงแล้ว ใครจะมาโจษขนาดไหน ใครจะมายุแหย่ขนาดไหนท่านไม่ฟังเลย ยังไงท่านก็ไม่ฟัง ท่านไม่ฟังเพราะว่าสิ่งที่เป็นธรรมๆ

ในสมัยพุทธกาลนะ พวกฉัพพัคคีย์กล่าวตู่ กล่าวตู่ว่านี่ เห็นไหม เสพกามกันๆ เสพกามกันเพราะว่าเขาอ้าง ตั้งชื่อกวาง กวางมันเสพกัน ก็บอกว่านี่ตั้งชื่อพระ แล้วก็โจษไป พอโจษไปนะมันก็ไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านเป็นสติวินัย ก็ท่านเป็นพระอรหันต์ มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ในเมื่อสงฆ์โจษขึ้นมามันเป็นอธิกรณ์ ท่านก็ประชุมสงฆ์ พอประชุมสงฆ์แล้วท่านก็สอบสวน สอบสวนไป ไอ้พวกฉัพพัคคีย์ก็บอก นี่ก็ตั้งชื่อกวางไง ว่ากวางเป็นชื่อนั้น นี่มันแถไปเรื่อยล่ะ มันแถไปเรื่อย เห็นไหม ถ้าใจมันเป็นธรรมแล้วมันคิดอย่างนั้นไม่ได้ มันออกมาจากความเป็นจริง

ถ้าใจเป็นธรรมนะ นี่ดีจากใจ ดีจากความจริงอันนั้น ไม่ใช่ดีแต่ชื่อ ดีแต่ชื่อไม่ต้องเอามา เพราะเรากำลังจะฆ่ามันอยู่ ที่มากันนี่เรามาทำอะไร เรามาภาวนา เรามาทำลายอวิชชา ทำลายความไม่รู้ความไม่เข้าใจในหัวใจ นี่ความไม่รู้ความไม่เข้าใจนะ เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมันแจ่มแจ้ง มันแยกแยะ สิ่งใดผิดสิ่งใดถูกมันแยกมันแยะของมัน แล้วมันรู้จริงแล้วมันรวมลง เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนี่ มันชำระล้าง มันวิปัสสนาจนขาดๆๆ เข้าไปเป็นชั้นเป็นตอน นี่ถึงที่สุดแล้วมันจบกระบวนการของมัน ถ้าจบกระบวนการของแล้วนี่ มันไม่มีสิ่งใดเลย มันไม่มีสิ่งใดตกค้างในธรรมอันนั้นเลย ในธรรมในหัวใจนี่ ดีอย่างนี้ที่เราแสวงหากัน ดีอย่างนี้ที่เรากำลังแสวงหา

เรามาประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าปฏิบัติกันน่ะมันต้องส่งเสริมกันสิ ส่งเสริมกัน ถ้าใครจะทำคุณงามความดี ใครจะภาวนา ใครมีธุระความจำเป็น แล้วเรามีน้ำใจต่อกันได้ เรารับผิดชอบแทนกันได้ บางอย่างเรารับผิดชอบแทนกันได้ เราดูแลแทนกันได้ เพื่อให้ความเพียร ให้การกระทำนั้นมันเคลื่อนไหวไปได้ ถ้ามันเคลื่อนไหวไปได้มันก็เป็นธรรมใช่ไหม แต่ถ้ามันเป็นความรู้สึกนึกคิดในใจ มันเป็นสิ่งที่ตกผลึกในใจ สิ่งที่เป็นอวิชชามันขวางไปหมดล่ะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี คือตัวเองมันไปขวางคนอื่น มันไปกีดไปขวางเขา

น้ำนี่เขาหมุนเวียนโดยธรรมชาติของเขา ไอ้มานั้นก็ไปอุดไปตันซะ ตรงไหนก็ไปอุดไปตันมัน แล้วบอกฉันดีๆ ดีอย่างไร น้ำมันจะเน่าหมดแล้ว ถ้าน้ำมันดีน้ำมันก็หมุนเวียนของมัน ออกซิเจนมันมีขึ้นมาปลามันก็แช่มชื่นแจ่มใส มันว่ายด้วยความสดชื่น ไอ้นี่น้ำแม่งออกซิเจนก็จะไม่มีแล้ว มันจะเน่าอยู่แล้ว เน่าเพราะใคร ก็กูนี่ไง ไปกีดไปขวางมันอยู่นี่ แต่ถ้ามันเปิดโล่งไปนะ เปิดโล่งไปนี่ ความเป็นไปของพวกเรามันก็อยู่สบาย มันอยู่สบาย มันก็มีแต่คุณงามความดีกันทั้งนั้นน่ะ

เราบวชมาเพื่อความดีไง อย่าให้ดีแต่ชื่อ เอาชื่อเอาเสียงมาอวดกัน ไร้สาระมาก นั่นมันเรื่องโลกๆ นะ เอายศ เอาตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ อื่ม! อย่าเอามาพูดนะ แล้วเรามานี่ใครจะสูงส่งมาขนาดไหน สูงส่งมันก็อยู่ที่บ้านมึงอ่ะ บวชมาแล้วมันก็เป็นพระเหมือนกันหมด ศีล ๒๒๗ ถ้าศีล ๒๒๗ แล้วมันก็มี อาวุโส ภันเต เรามีครูมีอาจารย์นะ มีหัวหน้า มีผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่วัดนี้ไม่มีใครเลย พอกูมาแล้ววัดนี้ของกู จะเหยียบไปเลย ไม่มี วัดเขาก็มีสงฆ์ สังฆะเขาคุ้มครองดูแลกันอยู่

เราเข้ามาเราทำอะไรกัน เรามาเพื่ออะไร ถ้าเรามาเพื่อธรรมมันก็เป็นธรรม ถ้าเรามาเพื่อกิเลส กิเลสมันก็ขี่หัว ถ้ากิเลสมันขี่หัวมันไม่เป็นจริง ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เราต้องทำให้เป็นจริง ถ้าจริงขึ้นมาแล้วนะ อกาลิโกไง ไม่มีกาลไม่มีเวลานะ สมาธิถ้าเกิดเดี๋ยวนี้ก็เป็นสมาธิเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นปัญญาเดี๋ยวนี้ก็เป็นปัญญาเดี๋ยวนี้ แล้วถ้ามันชำระล้างกิเลสเดี๋ยวนี้

ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านบอกเลยนะ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ต่อหน้าก็ไม่ถาม ถ้าถามไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะตอบสิ่งที่เรารู้นี่ พระอรหันต์ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือสมัยสองพันหกร้อยปีมาแล้ว กับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น นี่กึ่งพุทธกาล ห่างกันสองพันกว่าปีมันก็อันเดียวกัน อันเดียวกัน รู้เหมือนกัน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ต่อหน้าก็ไม่ถาม นี่ถ้าไม่ถามความจริงมันเป็นอันนั้น

ถ้าความจริงเป็นอันนั้นนะ เราเข้ามาแล้วนี่เราเข้ามาเพื่อศึกษา ศึกษาให้รู้จริงขึ้นมา ให้เป็นความจริงของเรา ให้ดีจริงๆ ให้มีคุณงามความดีซะ อย่าให้มันดีแต่ชื่อ หวังแต่ดีๆ ดีแต่ชื่อ ไม่มีความจริง เอวัง